ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถูกยึดครองโดย “รถกระบะ” มาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงในฐานะยานพาหนะสำหรับการบรรทุกสินค้า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการใช้งานที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งภาคเกษตรกรรม ธุรกิจ SME ไปจนถึงการใช้งานแบบครอบครัว
ข้อมูลจากสถาบันยานยนต์ระบุว่า รถกระบะครองสัดส่วน ประมาณ 40–45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในไทย หรือเฉลี่ย 450,000–500,000 คันต่อปี ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก
ในปี 2025 ตลาดรถกระบะไทยยังคงแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยมี แบรนด์ญี่ปุ่น อย่าง Toyota, Isuzu, Mitsubishi, Nissan, Mazda และ Ford เป็นผู้เล่นหลัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3–5 ปีหลัง คือการเข้ามาของ ค่ายรถจีน ที่นำเสนอรถกระบะทั้งแบบ ICE (เครื่องยนต์สันดาป), Hybrid และ EV (ไฟฟ้าล้วน) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค
ภาพรวมตลาดรถกระบะในประเทศไทย
สถิติสำคัญ
- ยอดขายรวมรถยนต์ปี 2024 อยู่ที่ราว 7.5–8 แสนคัน โดยรถกระบะมีสัดส่วนประมาณ 45%
- Toyota Hilux Revo และ Isuzu D-Max ครองส่วนแบ่งรวมกันกว่า 70% ของตลาดกระบะ
- Ford Ranger ทำผลงานเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มกระบะไลฟ์สไตล์
- Mitsubishi Triton และ Nissan Navara ยังมีฐานลูกค้าที่มั่นคงแม้ยอดขายไม่สูงเท่าสองเจ้าหลัก
- Mazda BT-50 ครองตลาดเล็กแต่เน้นไปที่ความพรีเมียม
พฤติกรรมผู้บริโภคไทย
- กลุ่มใช้งานจริง (Workhorse) – เน้นความทนทานและค่าบำรุงรักษาต่ำ
- กลุ่มครอบครัว/ไลฟ์สไตล์ – เลือกกระบะ 4 ประตูที่หรูหราและใช้แทนรถเก๋ง
- กลุ่ม SME และ Fleet – มองต้นทุนรวม (TCO) ทั้งค่าน้ำมัน บำรุงรักษา และราคาขายต่อ
📌 สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเชื่อมั่นด้านศูนย์บริการ และ มูลค่าขายต่อ
รถกระบะจีน: บทบาทใหม่ในตลาดไทย
เหตุผลที่ค่ายจีนบุกตลาดกระบะ
- ไทยคือฐานการผลิตระดับโลก – มีระบบซัพพลายเชนครบถ้วน
- ตลาดใหญ่และต่อเนื่อง – กระบะเป็น “Mass Market” ที่มีผู้ใช้จริงจำนวนมาก
- โอกาสด้าน EV และ Hybrid – รัฐบาลไทยสนับสนุน EV และค่ายจีนมีเทคโนโลยีที่พร้อมกว่า
จุดแข็งของกระบะจีน
- ราคาและความคุ้มค่า: ฟีเจอร์เทียบเท่ากระบะญี่ปุ่นแต่ราคาถูกกว่า 10–20%
- เทคโนโลยีล้ำสมัย: เช่น EV Pickup, ระบบ ADAS, จอ Infotainment ขนาดใหญ่
- ภาพลักษณ์ใหม่: ดีไซน์ทันสมัย ดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่
การวิเคราะห์รายค่าย
🚙 Great Wall Motor (GWM)
- รุ่นสำคัญ: Poer (Cannon) และ Poer EV
- กลยุทธ์: ผลิตในไทย (CKD) เพื่อลดต้นทุนและสร้างความมั่นใจ
- จุดแข็ง: ระบบความปลอดภัยเต็มขั้น + ดีไซน์พรีเมียม
- สถิติ: ปี 2024 GWM มียอดขายรวมกว่า 12,000 คันในไทย โดยกระบะ Poer เริ่มทำตลาดได้ราว 1,000 คัน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- แนวโน้ม: หากสร้างเครือข่ายศูนย์บริการได้ทั่วถึง จะเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ford และ Mitsubishi
🚛 JAC Motors
- รุ่นสำคัญ: T9 EV (กระบะไฟฟ้า)
- จุดแข็ง: กระบะ EV ราคาจับต้องได้ เหมาะกับธุรกิจขนส่งที่ต้องการลดต้นทุน
- ภาพลักษณ์: เชี่ยวชาญด้านรถเพื่อการพาณิชย์ จึงมีจุดแข็งเรื่องความคุ้มค่า
- แนวโน้ม: เจาะตลาด Fleet และ Logistics โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
🚐 SAIC (MG & Maxus)
- MG Extender: เคยทำตลาด แต่ยอดขายปี 2024 ต่ำกว่า 1,500 คัน เพราะเจอคู่แข่งญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง
- Maxus T90 EV: เปิดตัวในไทยปี 2023 เป็นกระบะ EV เต็มรูปแบบ
- จุดแข็ง: เป็นค่ายแรก ๆ ที่นำ EV Pickup มาทดลองตลาด
- แนวโน้ม: หากราคาลงมาในระดับ “2–2.2 ล้านบาท” พร้อมบริการหลังการขายเข้มแข็ง จะสามารถเจาะกลุ่ม early adopter ได้
🛻 Changan Automobile
- เพิ่งบุกตลาดไทยปี 2024
- มีแผนเปิดตัวกระบะไฟฟ้าและ Hybrid เช่น Kaicene F70 และ Shenlan
- จุดแข็ง: ดีไซน์ล้ำสมัยและระบบขับเคลื่อนใหม่ ๆ
- แนวโน้ม: ต้องสร้างฐานลูกค้าใหม่ผ่านการตลาดเชิงรุก + การันตีศูนย์บริการ
🚚 Dongfeng Motor
- มีชื่อเสียงในจีนด้านรถบรรทุกและรถเพื่อการพาณิชย์
- ในไทยยังไม่ชัดเจน แต่มีแผนศึกษาตลาด EV Pickup
- จุดแข็ง: ต้นทุนการผลิตต่ำและเครือข่ายในจีนใหญ่
- แนวโน้ม: อาจเลือกทำตลาดในกลุ่ม Fleet/Logistics ก่อน
โอกาสและความท้าทาย
โอกาส
- EV Pickup & Hybrid Pickup → ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตส่งออกได้
- การแข่งขันมากขึ้น → ทำให้ผู้บริโภคได้รถที่ดีกว่าในราคาที่เข้าถึงง่าย
- การยอมรับของคนรุ่นใหม่ → เปิดใจต่อแบรนด์จีนมากกว่าคนรุ่นเก่า
ความท้าทาย
- เครือข่ายบริการหลังการขาย → ต้องครอบคลุมเทียบเท่าญี่ปุ่น
- ความทนทานจริง → ต้องพิสูจน์ว่าใช้งานหนักในสภาพแวดล้อมไทยได้
- มูลค่าขายต่อ → ยังเป็นจุดที่ผู้บริโภคกังวล
สรุปภาพใหญ่
ตลาดรถกระบะในประเทศไทยปี 2025 ยังคงเป็น “สมรภูมิหลัก” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง แต่จีนได้เข้ามาเติมเต็มด้วย เทคโนโลยีใหม่ ราคาที่แข่งขันได้ และความคุ้มค่า
ในระยะสั้น (1–3 ปี) กระบะจีนอาจยังไม่สามารถแซงเจ้าตลาด แต่จะเป็น “ตัวเร่ง” ให้ตลาดแข่งขันสูงขึ้น และผู้บริโภคไทยได้ทางเลือกใหม่ ๆ
ในระยะกลางถึงยาว (3–5 ปี) หากจีนพิสูจน์ตัวเองด้านบริการหลังการขาย ความทนทาน และสร้างความเชื่อมั่นได้ จะมีโอกาสครองส่วนแบ่ง 10–15% ของตลาดกระบะไทย
กล่าวได้ว่า รถกระบะจีนในไทย ไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่คือ “New Challenger” ที่จะเปลี่ยนเกมในอนาคตอันใกล้ 🚀
ถ้าชอบคอนเทนต์แบบนี้ กดไลค์ กดติดตามเพจไว้ https://www.facebook.com/TheChronicles.AutosAndSports จะได้ไม่พลาดสาระดีๆ จากเพจของเรานะครับ