Home Uncategorized วิเคราะห์ตลาดรถกระบะไทยปี 2025 และบทบาทของรถกระบะจีน: โอกาสใหม่ในสมรภูมิที่ร้อนแรงที่สุด

วิเคราะห์ตลาดรถกระบะไทยปี 2025 และบทบาทของรถกระบะจีน: โอกาสใหม่ในสมรภูมิที่ร้อนแรงที่สุด

137
0
ตลาดรถกระบะในประเทศไทยปี 2025 ยังคงเป็น “สมรภูมิหลัก” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง แต่จีนได้เข้ามาเติมเต็มด้วย เทคโนโลยีใหม่ ราคาที่แข่งขันได้ และความคุ้มค่า

ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถูกยึดครองโดย “รถกระบะ” มาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงในฐานะยานพาหนะสำหรับการบรรทุกสินค้า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการใช้งานที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งภาคเกษตรกรรม ธุรกิจ SME ไปจนถึงการใช้งานแบบครอบครัว

ข้อมูลจากสถาบันยานยนต์ระบุว่า รถกระบะครองสัดส่วน ประมาณ 40–45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในไทย หรือเฉลี่ย 450,000–500,000 คันต่อปี ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก

ในปี 2025 ตลาดรถกระบะไทยยังคงแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยมี แบรนด์ญี่ปุ่น อย่าง Toyota, Isuzu, Mitsubishi, Nissan, Mazda และ Ford เป็นผู้เล่นหลัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3–5 ปีหลัง คือการเข้ามาของ ค่ายรถจีน ที่นำเสนอรถกระบะทั้งแบบ ICE (เครื่องยนต์สันดาป), Hybrid และ EV (ไฟฟ้าล้วน) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค


ภาพรวมตลาดรถกระบะในประเทศไทย

สถิติสำคัญ

  • ยอดขายรวมรถยนต์ปี 2024 อยู่ที่ราว 7.5–8 แสนคัน โดยรถกระบะมีสัดส่วนประมาณ 45%
  • Toyota Hilux Revo และ Isuzu D-Max ครองส่วนแบ่งรวมกันกว่า 70% ของตลาดกระบะ
  • Ford Ranger ทำผลงานเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มกระบะไลฟ์สไตล์
  • Mitsubishi Triton และ Nissan Navara ยังมีฐานลูกค้าที่มั่นคงแม้ยอดขายไม่สูงเท่าสองเจ้าหลัก
  • Mazda BT-50 ครองตลาดเล็กแต่เน้นไปที่ความพรีเมียม

พฤติกรรมผู้บริโภคไทย

  1. กลุ่มใช้งานจริง (Workhorse) – เน้นความทนทานและค่าบำรุงรักษาต่ำ
  2. กลุ่มครอบครัว/ไลฟ์สไตล์ – เลือกกระบะ 4 ประตูที่หรูหราและใช้แทนรถเก๋ง
  3. กลุ่ม SME และ Fleet – มองต้นทุนรวม (TCO) ทั้งค่าน้ำมัน บำรุงรักษา และราคาขายต่อ

📌 สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเชื่อมั่นด้านศูนย์บริการ และ มูลค่าขายต่อ


รถกระบะจีน: บทบาทใหม่ในตลาดไทย

เหตุผลที่ค่ายจีนบุกตลาดกระบะ

  1. ไทยคือฐานการผลิตระดับโลก – มีระบบซัพพลายเชนครบถ้วน
  2. ตลาดใหญ่และต่อเนื่อง – กระบะเป็น “Mass Market” ที่มีผู้ใช้จริงจำนวนมาก
  3. โอกาสด้าน EV และ Hybrid – รัฐบาลไทยสนับสนุน EV และค่ายจีนมีเทคโนโลยีที่พร้อมกว่า

จุดแข็งของกระบะจีน

  • ราคาและความคุ้มค่า: ฟีเจอร์เทียบเท่ากระบะญี่ปุ่นแต่ราคาถูกกว่า 10–20%
  • เทคโนโลยีล้ำสมัย: เช่น EV Pickup, ระบบ ADAS, จอ Infotainment ขนาดใหญ่
  • ภาพลักษณ์ใหม่: ดีไซน์ทันสมัย ดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่

การวิเคราะห์รายค่าย

🚙 Great Wall Motor (GWM)

  • รุ่นสำคัญ: Poer (Cannon) และ Poer EV
  • กลยุทธ์: ผลิตในไทย (CKD) เพื่อลดต้นทุนและสร้างความมั่นใจ
  • จุดแข็ง: ระบบความปลอดภัยเต็มขั้น + ดีไซน์พรีเมียม
  • สถิติ: ปี 2024 GWM มียอดขายรวมกว่า 12,000 คันในไทย โดยกระบะ Poer เริ่มทำตลาดได้ราว 1,000 คัน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • แนวโน้ม: หากสร้างเครือข่ายศูนย์บริการได้ทั่วถึง จะเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ford และ Mitsubishi

🚛 JAC Motors

  • รุ่นสำคัญ: T9 EV (กระบะไฟฟ้า)
  • จุดแข็ง: กระบะ EV ราคาจับต้องได้ เหมาะกับธุรกิจขนส่งที่ต้องการลดต้นทุน
  • ภาพลักษณ์: เชี่ยวชาญด้านรถเพื่อการพาณิชย์ จึงมีจุดแข็งเรื่องความคุ้มค่า
  • แนวโน้ม: เจาะตลาด Fleet และ Logistics โดยเฉพาะในเมืองใหญ่

🚐 SAIC (MG & Maxus)

  • MG Extender: เคยทำตลาด แต่ยอดขายปี 2024 ต่ำกว่า 1,500 คัน เพราะเจอคู่แข่งญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง
  • Maxus T90 EV: เปิดตัวในไทยปี 2023 เป็นกระบะ EV เต็มรูปแบบ
  • จุดแข็ง: เป็นค่ายแรก ๆ ที่นำ EV Pickup มาทดลองตลาด
  • แนวโน้ม: หากราคาลงมาในระดับ “2–2.2 ล้านบาท” พร้อมบริการหลังการขายเข้มแข็ง จะสามารถเจาะกลุ่ม early adopter ได้

🛻 Changan Automobile

  • เพิ่งบุกตลาดไทยปี 2024
  • มีแผนเปิดตัวกระบะไฟฟ้าและ Hybrid เช่น Kaicene F70 และ Shenlan
  • จุดแข็ง: ดีไซน์ล้ำสมัยและระบบขับเคลื่อนใหม่ ๆ
  • แนวโน้ม: ต้องสร้างฐานลูกค้าใหม่ผ่านการตลาดเชิงรุก + การันตีศูนย์บริการ

🚚 Dongfeng Motor

  • มีชื่อเสียงในจีนด้านรถบรรทุกและรถเพื่อการพาณิชย์
  • ในไทยยังไม่ชัดเจน แต่มีแผนศึกษาตลาด EV Pickup
  • จุดแข็ง: ต้นทุนการผลิตต่ำและเครือข่ายในจีนใหญ่
  • แนวโน้ม: อาจเลือกทำตลาดในกลุ่ม Fleet/Logistics ก่อน

โอกาสและความท้าทาย

โอกาส

  1. EV Pickup & Hybrid Pickup → ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตส่งออกได้
  2. การแข่งขันมากขึ้น → ทำให้ผู้บริโภคได้รถที่ดีกว่าในราคาที่เข้าถึงง่าย
  3. การยอมรับของคนรุ่นใหม่ → เปิดใจต่อแบรนด์จีนมากกว่าคนรุ่นเก่า

ความท้าทาย

  1. เครือข่ายบริการหลังการขาย → ต้องครอบคลุมเทียบเท่าญี่ปุ่น
  2. ความทนทานจริง → ต้องพิสูจน์ว่าใช้งานหนักในสภาพแวดล้อมไทยได้
  3. มูลค่าขายต่อ → ยังเป็นจุดที่ผู้บริโภคกังวล

สรุปภาพใหญ่

ตลาดรถกระบะในประเทศไทยปี 2025 ยังคงเป็น “สมรภูมิหลัก” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง แต่จีนได้เข้ามาเติมเต็มด้วย เทคโนโลยีใหม่ ราคาที่แข่งขันได้ และความคุ้มค่า

ในระยะสั้น (1–3 ปี) กระบะจีนอาจยังไม่สามารถแซงเจ้าตลาด แต่จะเป็น “ตัวเร่ง” ให้ตลาดแข่งขันสูงขึ้น และผู้บริโภคไทยได้ทางเลือกใหม่ ๆ
ในระยะกลางถึงยาว (3–5 ปี) หากจีนพิสูจน์ตัวเองด้านบริการหลังการขาย ความทนทาน และสร้างความเชื่อมั่นได้ จะมีโอกาสครองส่วนแบ่ง 10–15% ของตลาดกระบะไทย

กล่าวได้ว่า รถกระบะจีนในไทย ไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่คือ “New Challenger” ที่จะเปลี่ยนเกมในอนาคตอันใกล้ 🚀


ถ้าชอบคอนเทนต์แบบนี้ กดไลค์ กดติดตามเพจไว้  https://www.facebook.com/TheChronicles.AutosAndSports จะได้ไม่พลาดสาระดีๆ จากเพจของเรานะครับ

#ChroniclesAutos

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here